วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รูปแบบและแนวคิดในการประเมินผลหลักสูตร

 
รูปแบบการประเมินหลักสูตร
 การใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยแซงค์ (Puissance Analysis Technique)
ปุยซองค์เทคนิค เป็นวิธีการประเมินหลักสูตรแบบหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบ 3
ส่วนของหลักสูตร คือ วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล แล้ว
นำมาใส่ในตารางวิเคราะห์ปุยแซงค์ (The Puissance Analysis Matrix) และคิดคำนวณน้ำหนักออกมาโดยใช้สูตรปุยแซงค์ ผลที่คำนวณได้สามารถแปลความหมายว่าหลักสูตรนั้นมีคุณภาพอยู่ในระดับใด
องค์ประกอบการเรียนและพฤติกรรมการเรียนรู้มี สองมิติ คือ
มิติที่ 1 ความรู้ที่ให้แก่ผู้เรียน (Condition of learning) มี 6 รูปแบบ แต่ละรูปแบบจะให้ค่าของ
ความรู้สึกแตกต่างกันตามลำดับ
มิติที่ 2 มิติที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ (Performances Verb) แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 9 ขั้น เป็นผล
มาจากความรู้ที่ได้ 6 รูปแบบ แต่ละองค์ประกอบมีการจำแนกออกเป็นข้อย่อย ๆ และให้คะแนนแต่ละข้อย่อยโดยน้ำหนักคะแนนไม่ เท่ากัน ทั้งนี้เนื่องจากพิจารณาถึงความยากง่ายของพฤติกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดขึ้น เป็นจุดมุ่งหมาย และประเภทของการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน โดยปกติแล้ววิธีการนี้จะใช้สำหรับตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร โดยการพิจารณาตัดสิน ต้องดูจากค่า Pulssance Measure (P.M.) ซึ่งคำนวณได้จาก ตารางวิเคราะห์ปุยแซงค์

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ .
ไทเลอร์ (Ralph Tyler) เป็นผู้วางรากฐานการประเมินหลักสูตร ไทเลอร์ (Tyler) ได้ให้นิยามว่า
การศึกษาคือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ดังนั้นการประเมินคือ การเปรียบเทียบว่า พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนั้นเป็นไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์เป็นการพิจารณาความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันขององค์ประกอบหลักสูตร 3 ส่วน คือ จุดมุ่งหมายทางการศึกษา ประสบการณ์การเรียนรู้ และสัมฤทธิผลของ
การเรียน หลักในการประเมินผลสัมฤทธ์ิของหลักสูตร โดยพิจารณา ตัดสินจากการบรรลุผลสำเร็จ ของ
จุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่ตั้งไว้
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ (Robert L. Hammond)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบว่าการปรับปรุงหลักสูตรมี
ประสิทธิภาพบรรลุตามวัตถุประสงค์
ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยมีโครงสร้างสำหรับการประเมินหลักสูตรประกอบด้วย 3 มิติ คือ มิติด้านการเรียน
การสอน มิติด้านสถาบัน
และมิติด้านพฤติกรรม
ในการประเมินตามแนวคิดของแฮมมอนด์ จะเริ่มจากการประเมินหลักสูตรที่กำลังดำเนินการอยู่ใน
ปัจจุบัน เพื่อจะได้มาซึ่งข้อมูลเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การตัดสิน แล้วเริ่มกำหนดทิศทางและกระบวนการใน
การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ขั้นตอนการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ เป็นไปดังต่อไปนี้
1) ประเมินหลักสูตรที่กำลังดำเนินการอยู่ ควรทำการประเมินส่วน ย่อย ๆ ของหลักสูตร เช่น เริ่มทำ
การประเมินเพียงรายวิชาใดวิชาหนึ่งของหลักสูตร
2) นิยามลักษณะต่าง ๆ ของตัวแปร โดยอธิบายถึงตัวแปรต่าง ๆ ในมิติด้านการเรียนการสอน มิติด้าน
สถาบัน ควรบรรยายให้ชัดเจน
3) กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยระบุถึง (1) พฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงว่าประสบ
ความสำเร็จตามจุดประสงค์ (2) เงื่อนไขพฤติกรรมที่เกิดขึ้น (3) เกณฑ์ของพฤติกรรมที่บอกให้รู้ว่านักเรียน
ได้ประสบความสำเร็จตามจุดประสงค์มากน้อยเท่าใด
4) ประเมินผลพฤติกรรมที่ระบุไว้ในจุดประสงค์ ผลที่ได้จากการประเมินจะเป็นตัวกำหนดพิจารณา
หลักสูตรที่กำลังดำเนินการใช้อยู่ เพื่อตัดสิน รวมทั้งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
5) ประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยวิเคราะห์ผลภายในองค์ประกอบ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ ต่าง ๆ เพื่อหาข้อสรุปตามที่เกิดขึ้นจริง
พิจาณาสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงปรับปรุง 6)
3
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเว่น
สคริฟเว่นเป็นผู้คิดค้นการประเมินผลโดยไม่ยึดเป้ าหมาย เขาไม่เห็นด้วย
กับการประเมินที่คำนึงถึงแต่จุดประสงค์ เพราะจะก่อให้เกิดความลำเอียง สคริฟเว่น เสนอว่าในการ
ประเมินควรประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ จากการสังเกตพฤติกรรมและสภาพการณ์ ข้อมูลที่ๆได้จากการ
สังเกตมักเป็นข้อมูลในลักษณะเชิงคุณภาพ
จุดเด่น เป็นการประเมินผลทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากหลักสูตรทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวัง เป็นการขยาย
แนวคิดของไทเลอร์
สคริฟเว่นเน้นการประเมิน 4 ลักษณะ คือ
1. การประเมินย่อย ประเมินระหว่างการดำเนินการ เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
2. การประเมินรวบยอด สรุปผลของหลักสูตรเมื่อสิ้นสุดกระบวนการใช้หลักสูตร เพื่อตัดสินคุณค่า
หาข้อดีข้อเสีย
3. การประเมินภายใน ประเมินคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ภายในตัวมันเอง เช่น ประเมินเนื้อหา
จุดมุ่งหมาย
4. การประเมินผลที่เกิดขึ้น ประเมินผลที่เกิดจากสิ่งต่าง ๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ใช้ในการดำเนินหลักสูตร
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (Robert E. Stake)
สเตค ได้เสนอแนวคิดในการประเมินหลักสูตรว่า ผู้ประเมินต้องทราบข้อมูลที่แท้จริงให้ได้ เพื่อจะ
อธิบายและตัดสินในสิ่งที่กำลังศึกษานั้นคือ การประเมินควรพิจารณาอย่างครอบคลุม มิใช่ส่วนหนึ่งส่วนใด
ของโครงสร้าง
สเตค ได้เสนอแนะให้ทำการประเมินองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1) การประเมินสิ่งที่มีอยู่ก่อน (Antecedents) ประเมินสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่กับการดำเนินการใช้หลักสูตรหรือ
สภาพเงื่อนไขปัจจัยต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการ
2) การประเมินกระบวนการ (Transactions) การประเมินเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กันระหว่างผู้สอนกับ
ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน ประเมินกิจกรรมการดำเนินการ กิจกรรมที่ปฏิบัติ
3) การประเมินผลผลิต (Outcomes) ประเมินความสามารถด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนหรือผลของการนำ
โครงการไปปฏิบัติ
การประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินหลักสูตร
รูปแบบการประเมินประกอบด้วยกิจกรรม 2 อย่าง คือ
1. ข้อมูลเชิงบรรยาย (โดยสำรวจความสอดคล้องระหว่างสภาพกับผลการที่เกิดขึ้น)
2. ข้อมูลเชิงตัดสินใจ (โดยเปรียบเทียบข้อมูลในข้อ 1) กับเกณฑ์มาตรฐาน/โครงการอื่นๆ
4
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส (Provus, Discrepency Evaluation Model)
ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 5 ขั้นตอน คือ
ตั้งเกณฑ์มาตรฐาน (Standard-S) โดยผู้ประเมินหลักสูตรจะกำหนด 1.
เกณฑ์มาตรฐานของสิ่งที่ต้องการวัดว่าต้องการในระดับใด
2. รวบรวมผลการปฏิบัติ (Performance-P) ในขั้นนี้ ผู้ประเมินจะเก็บรวบรวมข้อมูลของสิ่งต่าง ๆ ให้
มากพอที่จะนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้
3. เปรียบเทียบผลการปฏิบัติกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ (Compare-C) โดยนำข้อมูลที่ได้จากข้อ 2
ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ในข้อ 1
4. จำแนกความแตกต่าง (Discrepency-D) ระหว่างผลการปฏิบัติกับเกณฑ์มาตรฐาน
5. ทำการตัดสินใจ (Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ
หลักสูตรนั้น ซึ่งอาจจะเป็นการยกเลิก หรือแก้ไขปรับปรุง เพื่อให้มีคุณภาพดีขึ้นก็ได้
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโกว์ (Doris T. Gow)
ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์องค์ประกอบภายใน โดยเสนอ
กระบวนการประเมินหลักสูตรเป็น 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์หลักสูตร โดยพิจารณาองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ
1. โอกาสการเรียนรู้
2. สิ่งเร้า
3. โครงสร้างของหลักสูตร
4. สภาพการเรียนการสอน
ขั้นที่ 2 การตัดสินคุณภาพของหลักสูตร
นำข้อมูลในขั้นที่ 1 มาพิจารณาเปรียบเทียบกับหลักการทฤษฎีทางการศึกษา และทางจิตวิทยา
จุดเด่น เป็นการตัดสินคุณภาพหลักสูตรโดยใช้หลักการทฤษฎีทางการศึกษาและทางจิตวิทยาเป็นหลัก
ไม่ใช้ความคิดเห็นของผู้วิเคราะห์
รูปแบบของการประเมินของสตัฟเฟิลบีม (Daniel L. Stufflebeam) 8.
สตัฟเฟิลบีม ได้อธิบายความหมายของการประเมินผลทางการศึกษา
เอาไว้ว่าเป็นกระบวนการบรรยายหารหาข้อมูล และการให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจหาทางเลือก ฉะนั้น
รูปแบบของสตัฟเฟิลบีมจึงเป็นรูปแบบที่เหมาะสมแก่การช่วยตัดสินเพื่อหาทางเลือกที่ดีที่สุด
สถานการณ์ในการตัดสินใจ (Decision setting) โดยทั่วไปจะประกอบด้วยมิติที่สำคัญอยู่ 2 ประการ
1. มิติด้านข้อมูลที่มีอยู่ คือ มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากน้อยเพียงใด
2. มิติด้านปริมาณความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้เกิดขึ้น
5
จำแนกการตัดสินใจออกได้เป็น 4 ประเภท
1. การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน
2. การตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้าง
3. การตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน
4. การตัดสินใจเกี่ยวกับเมื่อสิ้นสุดโครงการ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจ 4 ด้าน เพื่อตรวจสอบความสำเร็จ/ทบทวนหลักสูตร
สตัฟเฟิลบีม เสนอรูปแบบการประเมินแบบซิปป์ ซึ่งเป็นรูปแบบการประเมินเพื่อการตัดสินใจ
โดยเฉพาะในด้านเกี่ยวกับการวางแผนโครงสร้างการดำเนินการ และการตัดสินใจเมื่อสิ้นสุดโครงการโดย
ประเมินองค์ประกอบของหลักสูตร 4 ด้าน คือ
1) การประเมินสภาวะแวดล้อมหรือบริบท (Context Evaluation) เป็นการประเมินสภาพแวดล้อม สภาพที่
พึงปรารถนา และสภาพที่เป็นจริง บ่งชี้ถึงปัญหาและความต้องการอันนำไปสู่การตัดสินใจ
2) การประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input Evaluation) เป็นการประเมินการใช้ทรัพยากร เพื่อวิเคราะห์ทางเลือก
สำหรับการวางแผนและการออกแบบการใช้หลักสูตร
3) การประเมินกระบวนการ (ProcessEvaluation)เป็นการประเมินกระบวนการต่าง ๆ ของการใช้หลักสูตร
สำหรับการตัดสินใจว่าจะดำเนินการด้วยวิธีใด จะแก้ไขอย่างไร
4) การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการประเมินองค์ประกอบที่เป็นผลผลิตของผลกระทบ
ของการใช้หลักสูตรว่า เกิดผลตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่ และยังเป็นข้อมูลสำหรับการ
ปรับปรุงหลักสูตร หรือยกเลิกการใช้หลักสูตร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น